โรคอ้วน ( MORBID OBESITY )
ในสังคมปัจจุบันเราจะพบผู้ที่มีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากขึ้น
อาจเป็นจากการรับประทานอาหารกลุ่มแคลอรี่สูง และขาดการออกกำลัง
ทำให้โรคอ้วนกำลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยขึ้น ผลสุดท้ายผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีโอกาสมีโรคแทรกซ้อนตามมาในภายหลังมากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ
โรคอ้วนอาจเกิดจากพฤติกรรมการทานอาหารมากเกินไป
หรือทานอาหารกลุ่มให้พลังงานสูงติดต่อกันเป็นประจำ เช่นอาหารกลุ่มแป้ง ไขมัน
และของหวาน หรืออาจเกิดจากความผิดปกติทำให้มีการสะสมไขมันมากเกินไป
หรือหิวตลอดเวลา
คำจำกัดความของโรคอ้วน ใช้พิจารณาจาก
เกณฑ์ที่เรียกว่า ดัชนีมวลกาย BMI ( Body Mass Index ) มาเป็นตัวชี้วัด
โดยBMI คำนวณได้จาก น้ำหนักตัว Kg. หารด้วย ส่วนสูง m. ยกกำลังสอง
ค่า BMI 23
- 24.9 เริ่มถือว่าน้ำหนักเกิน
25 -
29.9 อ้วนระดับ 1
> 30 อ้วนระดับ 2
ยิ่งมีค่าดัชนีมวลกายมาก
ก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการมีโรคแทรกซ้อนมากขึ้น เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจ ไขมันพอกตับ โรคหลอดเลือดดำอุดตันที่ขา กรดไหลย้อน ภาวะนอนกรน
และหยุดหายใจขณะนอนหลับ นอกจากนี้ก็ยังเกิดความลำบากในการเคลื่อนไหวร่างกายทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
และเสียบุคลิก
ในการพิจารณาให้การรักษาโรคอ้วนนั้นขึ้นอยู่กับค่าของดัชนีมวลกาย
และโรคร่วม แต่โดยหลักการแล้ว ขั้นตอนแรกของการรักษา
คือเริ่มต้นด้วยการพยายามลดน้ำหนักโดยการควบคุมด้วยตัวเองก่อน
ไม่ว่าจะโดยการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ เพราะการทำนายผลของการผ่าตัด
ว่าจะได้ผลดีมากเท่าไหร่ ขึ้นกับการควบคุมของผู้ป่วยเองด้วยในภายหลังการผ่าตัด
เพราะถ้าผู้ป่วยไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานอาหาร
รวมทั้งรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน
อาจทำให้น้ำหนักหลังผ่าตัดลดลงไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้
แต่อย่างไรก็ตามน้ำหนักที่ลดลงแล้วมักจะไม่กลับไปมากเท่ากับก่อนการผ่าตัด
การรักษาโรคอ้วนนั้น
ไม่ว่าจะใช้วิธีผ่าตัดแบบใดก็ตาม มีหลักการคือ
1. 1 ทำให้ลดปริมาณอาหารที่ทานลงไป
2. 2ทำให้อาหารที่ทานลงไป
เคลื่อนผ่านทางเดินอาหารส่วนที่ทำการย่อยและดูดซึมไปให้เร็วที่สุด
การรักษาโรคอ้วน มีได้หลายวิธี ตั้งแต่
-
การใส่บอลลูน ลงไปในกระเพาะอาหาร
เพื่อทำให้พื้นที่ความจุของกระเพาะอาหารลดลง
-
การใส่เข็มขัดรัดกระเพาะอาหาร เพื่อให้มีจำกัดปริมาตรของกระเพาะอาหาร
-
การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของกระเพาะอาหาร
-
การผ่าตัดเบี่ยงทางเดินอาหาร เพื่อให้อาหารผ่านระบบการย่อยไปได้เร็วขึ้น
ซึ่งวิธีการรักษาแต่ละชนิดก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกัน บางครั้งอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด รวมทั้งต้องได้รับความร่วมมือในการปฏิบัตตัวของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดร่วมด้วยจึงจะทำให้ผลการรักษาออกมาดีที่สุด ดังนั้นการให้การผ่าตัดรักษาในผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกันได้
ในปัจจุบัน
วิธีการผ่าตัดรักษามีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ บางวิธีก็อาจหมดความนิยม
หรือเลิกทำไปแล้ว บางวิธีก็ยังนิยมใช้ในการรักษาอยู่
แต่ทุกวิธีก็มีหลักการเหมือนกัน คือ
1. 1 การลดขนาดกระเพาะอาหารลงให้เหลือประมาณ 15 %
2. 2 การผ่าตัดเพื่อเบี่ยงทางเดินอาหาร เพื่อให้อาหารผ่านระบบการย่อยไปได้เร็วขึ้น การผ่าตัดเพื่อเบี่ยงทางเดินอาหารมีได้หลายแบบ
รวมทั้งยังมีหลายเทคนิคในการผ่าตัดชนิดเดียวกัน
ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถกำหนดมาตราฐานลงไปได้ว่าวิธีไหนดีที่สุด
ทั้งนี้ขึ้นกับตัวผู้ป่ายและความชำนาญของแพทย์ผู้ผ่าตัดแต่ละคน
จึงต้องทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด
ในบางครั้งผู้ป่วยควรต้องหาความเห็นที่ สอง หรือ สาม
จากแพทย์ผู้สามารถทำการผ่าตัดชนิดนี้ได้ ว่าวิธีใดเหมาะสมที่สุด
แล้วค่อยตัดสินใจเข้ารับการรักษา
การผ่าตัดรักษาโรคอ้วนปัจจุบันเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก
โดยเทคนิคของการผ่าตัดก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก
อันตรายจากโรคแทรกซ้อนหลังผ่าตัดมักเกิดจากโรคร่วมของผู้ป่วยเองหรือการเตรียมตัวผ่าตัดได้ไม่พร้อมพอ แต่ผลที่ได้จากการผ่าตัดจะได้ประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากกว่า
ทั้งในแง่ของความคล่องตัวของผู้ป่วย หรือในกรณีที่มีโรคร่วมเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ข้อเข่าเสื่อม นอนกรน
หรือ ภาวะหยุดหายใจเป็นช่วงๆขณะนอนหลับ
หลังผ่าตัด อาการของโรคร่วมพวกนี้จะดีขึ้นมาก จนอาจไม่ต้องใช้ยารักษาเลย
ในกรณีกลับกันถึงแม้ว่า
ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดจะพบได้ไม่มาก
แต่เมื่อพบภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดก็อาจมีความรุนแรงมากกว่าในคนที่น้ำหนักปกติ
ซึ่งมักใช้เวลาในการรักษาภาวะแทรกซ้อนนานขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะพบได้มักเป็นรอยรั่วของตำแหน่งการตัดเย็บกระเพาะอาหาร
หรือมีการตีบแคบของกระเพาะอาหาร ซึ่งการรักษามักขึ้นกับความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนนั้น
จนบางรายอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
ดังนั้นการตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน
จะต้องศึกษาข้อดี ข้อเสียของการผ่าตัดโดยละเอียดเสียก่อน
ค่อยตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดรักษา โดยต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษาถึงอัตราความสำเร็จของการผ่าตัด
ผลที่ได้รับ ความเสี่ยงของการผ่าตัด
รวมทั้งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอะไรได้บ้างจากการผ่าตัด
เมื่อได้รายละเอียดทั้งหมดแล้วจึงค่อยตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดรักษา
ภาพผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดรักษา
ก่อนผ่าตัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น